วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่10


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 10
วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2561

คำคมวันนี้


เทคนิคการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีสำหรับการเป็นผู้บริหาร


  • ในแต่ละครั้งที่เราต้องพบเจอผู้คนในองค์กรหรือนอกองค์กร การสนทนา การแสดงความคิดเห็น หรือการพูดให้ความรู้ การนำเสนองานต่างๆ นั้น ควรประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เนื้อหาสาระของคำพูด 7% น้ำเสียง 38% กิริยาท่าทาง (บุคลิกภาพ) 55%
           1.การใช้สายตา การมอง การสบสายตาขณะพูด  
           2.การแต่งกาย  
           3.ภาษาพูด จังหวะการพูด ระดับเสียง  
           4.การเดิน / การนั่ง  
           5.การแสดงออกและท่าทาง การไหว้ การรับไหว้
           6.ความสะอาด
           7.สุขภาพต้องดี คนป่วยคงไม่มีใครอยากเข้าใกล้

ครูกับการพัฒนาตน
          1. การพัฒนาตนเป็นการที่บุคคลพยายามหาวิธีการที่เหมาะสมเพื่อให้ตนเองก้าวไปสู่การเป็นผู้มี
บุคลิกภาพที่สมบูรณ์ ในขอบเขตที่มีความพอเหมาะพอดีกับความสามารถของผู้นั้น และเหมาะสมกับค่า
นิยมของสังคม เพื่อการมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข การพัฒนาคนนับเป็นสิ่งสำคัญในอันที่จะนำไป
สู่การพัฒนาอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นครู
          2. ครูควรพัฒนาตนเองใน 2 ลักษณะคือ
                  1. การพัฒนาตนเองในด้านวิชาชีพ เพื่อการประกอบวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้แก่
                          - การพัฒนาในด้านความรู้
                          - การพัฒนาในด้านเทคโนโลยี
                          - การพัฒนาในด้านคุณลักษณะกับเจตคติ
                  2. การพัฒนาตนในด้านการเป็นสมาชิกของสังคม เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
                          - การรู้จักตนเองและการเข้าใจตนเอง
                          - การสำรวจตนเอง
                          - การปรับปรุงตนเองในด้าน การพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก
                          - ภายใน การพัฒนาลักษณะนิสัยที่ดี การพัฒนามนุษยสัมพันธ์ การพัฒนาการเรียนรู้

การพัฒนาตนเองควรประกอบด้วยขั้นตอน ดังนี้
        1. พยายามค้นพบตนเอง ทำความรู้จักตนเอง โดยหมั่นตรวจตราพิจารณาตนเองถึงอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนการกระทำของตนเอง นอกจากนี้ควรสนใจรับฟังข้อคิดเห็น หรือคำวิจารณ์ของบุคคลอื่นที่มีต่อตัวเราบ้าง ต่อจากนั้นให้หันกลับมาพิจารณาตนเองในแง่มุมเหล่านี้
                  1.1 ตัวของเราที่เป็นจริงเป็นอย่างไร
                  1.2 ตัวของเราที่รับรู้เป็นอย่างไร
                  1.3 ตัวของเราที่เราอยากจะเป็น เป็นอย่างไร
         2.  เมื่อได้พิจารณาตนเองแล้ว รู้จักตนเองแล้ว เรายอมรับได้ไหมว่า สิ่งนั้นคือตัวเรา การยอมรับตนเองนั้น ควรจะยอมรับทั้งในส่วนที่เป็นจุดอ่อน และจุดเด่นไปด้วยกัน มิใช้จะยอมรับแต่จุดเด่น แล้วไม่สนใจจุดอ่อนโดยไม่ยอมรับจุดอ่อน
         3. ท้ายที่สุด คือ การหาทางพัฒนาจุดอ่อนหรือส่วนที่เราไม่พอใจที่อยู่ในตัวเรา (bed me) ให้ดีขึ้น 
(good me)

หลักและวิธีเสริมสร้างบุคลิกภาพ
  • การยืน เดิน นั่งเป็นส่วนสำคัญที่บอกถึงบุคลิกภาพของแต่ละบุคคลอิริยาบถคือการเดิน ยืน นั่ง เปิด-ปิดประตู ขึ้นลงรถ อย่างถูกต้องสวยงาม
  • การรู้จักทำตัวให้เข้ากับบุคคล สถานที่ และเวลา อย่างถูกต้องถือว่ามีมารยาททางสังคมที่ดี เช่น การรู้จัก
  • กราบไหว้ที่ถูกวิธี และถูกกาลเทศะ การรู้จักธรรมเนียมของชาวต่างชาติ การปฏิบัติตนในงานเลี้ยงต่างๆ
  • การไปเยี่ยมคนป่วยการมอบดอกไม้แสดงความยินดีหรือให้ผู้อาวุโส เป็นต้น
        บางครั้งเราอาจจะต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ และอาจเกิดอะไรขึ้นกับเราได้ทุกวินาทีนั้น เราต้องพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ในลักษณะที่พร้อม คือไม่ตกใจ ดีใจ เสียใจ กลัว เกินกว่าเหตุ สามารถควบคุมท่าทางของตนเองได้เป็นอย่างดี

แนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพ
การรักษาสุขภาพอนามัย
       -  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ      
       -  รับประทานอาหารที่มีประโยชน์      
       -  ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มหรือลดผิดปกติ   
       -  ละเว้นการสูบบุหรี่หรือยาเสพติดให้โทษทุกชนิด   
       -  ไม่ดื่มสิ่งของที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน    
       -  พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ วันละ 7-8 ชม.
       -  รักษาอารมณ์ให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ

การดูแลร่างกาย
        -  รักษาความสะอาดในช่องปากและฟัน
        -  ดูแลรักษาเส้นผมและทรงผมให้เรียบร้อยทั้งด้านความสะอาดและรูปทรง
        -  โกนหนวดเคราให้เกลี้ยงเกลา ตัดและขริบให้เรียบร้อย
        -  รักษาผิวพรรณให้สะอาดสดชื่นอยู่เสมอ อย่าให้ผิวแห้งกร้าน
        -  รักษากลิ่นตัว  
        -  รู้จักการแต่งหน้าแต่พองาม
        -  ดูแลเล็บมือ เล็บเท้า ให้สะอาดอยู่เสมอ
        -  ปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นในที่สวมใส่ทุกวัน
        -  ควรมีการเช็คร่างกายเป็นประจำทุกปี
        -  เมื่อร่างกายมีอาการผิดปกติรีบไปปรึกษาแพทย์ 

การแต่งกาย
        -  สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ซักรีดให้เรียบ
        -  สีสันไม่ฉูดฉาดควรเลือกสีให้เหมาะสมกับรูปร่างและผิวพรรณของตนเอง
        -  กระเป๋าถือและรองเท้า ควรใช้หนังที่มีคุณภาพดี สีเรียบ สำรวจส้นรองเท้าจัดการซ่อมแซมให้เรียบร้อย
        -  แต่งหน้าให้แนบเนียน ไม่แต่งเข้มผิดธรรมชาติ เลือกใช้เครื่องสำอางที่มีคุณภาพดี
        -  เล็บและการทาเล็บ ไม่ควรไว้เล็บยาวจนเกินไป ควรเลือกสีกลาง ๆ อย่าปล่อยให้สีถลอกจะไม่น่าดู
        -  ผม หมั่นสระให้สะอาด  อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง  แปรงหวีให้เรียบร้อย เลือกทรงผมที่รับกับ
ใบหน้า
        -  เครื่องประดับ ควรใช้เพื่อเสริมการแต่งกายให้ดูดีขึ้น แต่ไม่ควรใช้เครื่องประดับมากจนเกินไปจนดู
สะดุดตารกรุงรังไปหมด
        -  ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม
        -  ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะ

อารมณ์
  • รู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่ปล่อยอารมณ์ไปตามใจตนเอง  คนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองได้จะได้เปรียบและจะเอาชนะเหตุการณ์ต่าง ๆที่เกิดขึ้นได้  ในการปฏิบัติงานเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนอารมณ์กันอยู่เสมอ ฉะนั้น บุคคลใดที่ต้องการจะพัฒนาบุคลิกภาพของตนให้ดีขึ้นจะต้องเป็นคนรู้จักอดทนใจเย็นเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเกิดขึ้น
ความเชื่อมั่นในตนเอง
         -  ยอมรับในความสามารถของตนเอง
         -  อย่าเล็งผลเลิศในการทำงานจนเกินไป
         -  อย่าถือคติว่าการทำงานสิ่งใดเมื่อทำแล้วต้องดีที่สุด
         -  อย่านำความเก่งของผู้อื่นมาทับถมตนเอง
         -  หมั่นฝึกจิตใจตนเองให้ชนะความกลัวให้ได้


การพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิด
  • ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ถ้ามีความรู้สึกนึกคิดในด้านดี ไม่มองคนในแง่ร้ายจิตใจก็เป็นสุข ไม่มีความกังวล ดังนั้นจึงควรพัฒนาบุคลิกภาพด้านความรู้สึกนึกคิดดังนี้

             1.  มีความเชื่อมั่นในตนเองในการกระทำในสิ่งต่าง ๆ
             2.  มีความซื่อสัตย์ กระทำตนให้ผู้อื่นเชื่อถือเรา แล้วความไว้วางใจจะตามมา มีเรื่องสำคัญเขาก็จะให้เราทำ
             3.  มีความสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านั้น ให้เหมาะสมกับผู้ที่มอบหมายไว้วางใจให้เราทำ
             4.  มีความกระตือรือร้น ที่อยากจะทำ เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
             5.  มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักปรับปรุงงานอยู่เสมอ
             6.  มีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามต้องมีความห่วงใยจะต้องทำให้เสร็จทันตามกำหนดเวลา
             7.  มีความรอบรู้                     
             8.  ห่วงตัวเอง เติมชีวิตให้กับตัวเอง
             9.  มีความจำแม่น                  
             10.   วางตัวเหมาะสมกับกาลเทศะ

การพัฒนาบุคลิกภาพด้านกายบริหารทรวดทรง
  1. องค์ประกอบของทรวดทรง ขึ้นอยู่กับกลไกของการเคลื่อนไหวของร่างกายและโครงสร้างของร่างกาย ไม่ว่าหญิงหรือชายก็ชอบที่จะมีรูปร่างงามทั้งนั้น ผู้ชายก็ต้องการมีรูปร่างสมาร์ท ผู้หญิงก็ต้องการมีเอวบาง ร่างน้อย มีสุขภาพดี การมีรูปร่างงาม สุขภาพดี เกิดจากการพัฒนาตัวเราเอง เราเป็นผู้วางแผนในชีวิตของเราเอง
  2. ทรวดทรงอาจไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต แต่ส่วนสัดและท่าทาง ทำให้คนทุกคนดูแตกต่างกันไป บุคลิกที่ไม่ดีแสดงว่าเจ้าของเรือนร่างขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าได้เรียนรู้วิธีเสริมสร้างเสน่ห์ให้กับบุคลิกภาพของตนเองแล้ว จะไม่เพียงทำให้มีรูปร่างสง่างามเท่านั้น ยังสามารถทำให้การปฏิบัติงานเกิดความเชื่อมั่น  งานก็มีประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้นจึงควรใช้เวลาในการบริหารทรวดทรงของตนเองเป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะสุขภาพที่ดี และทรวดทรงที่งดงามอีกด้วย
การปรับปรุงบุคลิกภาพภายใน
  • การยอมรับความจริงเกี่ยวกับตนเอง 
  • การปรับปรุงในส่วนที่จะปรับปรุงได้ 
  • การใช้สิ่งอื่นๆ เพื่อส่งเสริมบุคลิกภาพ 
  • การส่งเสริมบุคลิกภาพที่ดีควรส่งเสริมคุณภาพจิตสาธารณะมากำกับ เพื่อบุคคลจะได้ลดละความเห็นแก่ตนในระดับที่พอดำรงชีวิตอยู่ได้ เสียสละ เกื้อกูลคนอื่น เป็นผู้รับในบางโอกาสและเป็นผู้ให้ในบางโอกาส  มีจิตใจที่ดีงาม มีร่างกายที่สะอาดสดใสก็เท่ากับว่าบุคคลได้ส่งเสริมหรือพัฒนาบุคลิกภาพแล้วนั่นเอง
การพัฒนาบุคลิกภาพด้านการเรียนรู้
        ในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นครูจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเรียนรู้และ
เพิ่มพูนประสบการณ์ให้ตรงกับตนเองอยู่เสมอ เช่น
         1. การฟัง
         2. การอ่าน
         3. การเขียน
         4. การสังเกต
         5. การคิด
         6. การทดลอง

ประเมินตนเอง : มาเรียนตรงเวลา แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบ
ประเมินเพื่อน : เพื่อนแต่งการถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
ประเมินอาจารย์ :  อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น


วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่8


บันทึกการเรียนครั้งที่8
วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ.2561

นำเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารสถานศึกษาหน้าชั้นเรียน


งานวิจัย เรื่อง รูปแบบการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษา สู่ความเป็นเลิศระดับสากล
วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาศึกษาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต
สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ผู้วิจัย : อุดม  ชูลีวรรณ
ปีการศึกษา : 2559 

สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
            ความรู้ที่ได้จากวิจัยครั้งนี้คือ การบริหารสถานศึกษาในโรงต่างๆ จะเห็นได้ว่าการบริหารและการจัดการเป็นกลไกในการขับเคลื่อนให้เกิดการดำเนินงาน บรรลุเป้าหมายคือด้านผลลัพธ์แต่จะบริหารและจัดการอย่างไรจึงจะเกิดประสิทธิภาพนั้นผู้ริหารสำคัญที่สุดเพราะผู้บริหารเป็นผู้กำหนดทิศทางการทำงาน ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิภาพทั้งหลายล้วนเป็นผู้นำทางวิชาการ มีความคิดริเริ่ม มีวิสัยทัศน์ มีความรอบรู้ มีความสามารถในการจัดโครงสร้างและจัดบุคลากรให้เหมาะกับศักยภาพ ส่งเสริมให้มีการจัดหลักสูตรที่เหมาะสมกับผู้เรียนและท้องถิ่น ส่งเสริมพัฒนานวัตกรรม พัฒนาบุคลากร พัฒนา ผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์รอบด้านทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา สิ่งสำคัญอีก



งานวิจัย เรื่อง การบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียน เครือข่ายที่49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร
การศึกษาระดับ : ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัยปทุมธานี
ผู้วิจัย : นางสาวจิรัญญา ขัดธิพงษ์
ปีการศึกษา 2558

สะท้อนองความรู้ที่ได้จากวิจัย
             จากการศึกษาวิจัยเรื่องการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหารตามทัศนะของครูในโรงเรียน เครือข่ายที่ 49 สำนักงานเขตคลองสามวา สังกัดกรุงเทพมหานคร ได้ความรู้จากการศึกษาวิจัย ดังนี้ ได้เห็นแนวคิด ทฤษฎี หลักการต่างๆ ของการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา การบริหารงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป สำหรับการบริหารงานวิชาการมีการจัดตั้งและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ให้ครูและนักเรียนใช้ทั้งในและนอกโรงเรียน ทางด้านการบริหารงบประมาณ มีการดำเนินการจัดทำบัญชีการเงินถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ มีการจัดทำทะเบียนคุมทรัพย์สินและบัญชีวัสดุ ควบคุมบำรุงรักษาพัสดุและมีการตรวจสอบพัสดุประจำปี และด้านการบริหารงานบุคคลมีการส่งเสริมและให้การสนับสนุนการประเมินวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีการส่งเสริมสร้างขวัญ และกำลังใจโดยการยกย่องเชิดชูเกียรติผู้มีผลงานดีและมีคุณงามความดีและ เสริมสร้างและพัฒนาวินัย คุณธรรมและจริยธรรมสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 


งานวิจัย เรื่องรูปแบบการบริหารโรงเรียนสาธิตปฐมวัยของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร
ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้วิจัย : นางนริสานันท์  เดชสุระ
ปีการศึกษา : 2552

สะท้อนองค์ความรู้ที่ได้จากวิจัย
          การบริหารและหลักการบริหารการจัดการมีความสำคัญในการวางระบบการบริหารโรงเรียน โดยใช้โรงเรียนเป็นฐานเป็นรูปแบบ และแนวคิดในการบริหารที่จะต้องกระจายอำนาจการบริหารทำให้สถานศึกษามีอำนาจและความรับผิดชอบในการบริหารมีความคล่องตัวและมีอิสระมากขึ้นในการตัดสินใจ การสร้างประสิทธิภาพของโรงเรียนควรเน้นการบริหารการจัดการโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานอย่างชัดเจน และเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการเรียนรู้



งานวิจัยเรื่อง   การบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง   สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี  เขต 1
การศึกษาระดับ ปริญญาศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการบริหารการศึกษา  คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 
ผู้วิจัย ยุกตนันท์   หวานฉ่ำ
ปีการศึกษา  2555

สะท้อนองความรู้ที่ได้จากวิจัย
          ประสิทธิผลในการบริหารสถานศึกษา ย่อมขึ้นอยู่กับผู้บริหารเป็นสำคัญ ภายใต้ข้อจำกัดของการบริหารโรงเรียน เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้การปฏิบัติงานของผู้บริหารบรรลุผลตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่กำหนด คือ การพัฒนาผู้บริหารโรงเรียน ซึ่งการบริหารการศึกษาในสถานศึกษา เพื่อให้สถานศึกษาประสบผลสำเร็จและสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษานั้น  ปัจจัยสำคัญต่อการเสริมสร้างการเรียนรู้ใน โรงเรียน คือ ระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และการมีส่วนร่วมวามร่วมมือในการปฏิบัติงาน ต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้  และ ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
  ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาจึงมีบทบาทที่สำคัญอย่างยิ่งในฐานะผู้นำหลัก  ซึ่งมีภาระหน้าที่สำคัญ คือ เป็นผู้นำทางการศึกษา  มีความรับผิดชอบในการบริหารงานด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมสร้างความก้าวหน้าของสถานศึกษาให้มีประสิทธิภาพตามนโยบายที่กำหนดไว้



เรื่อง : ทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 ของผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1
การศึกษาระดับ  :  ครุศาสตรมหาบัณฑิต  มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
ผู้วิจัย : ศศิตา  เพลินจิต
ปีการศึกษา : 2558

สะท้อนองความรู้ที่ได้จากวิจัย
  • ได้รับความรู้เรื่องทักษะการบริหารในศตวรรษที่ 21 และได้รับความรู้ใหม่เกี่ยวกับทฤษฎีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการศึกษาในศตวรรษที่21เพิ่มมากขึ้น
  • ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ศึกษา  ค้นคว้า  และแก้ปัญหาจากการทำงานเพื่อแสดงศักยภาพที่มีอยู่ให้เห็นว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการทำวิจัย
  • ได้ฝึกทักษะกระบวนการทำงาน การแก้ไขปัญหา มีความรับผิดชอบและได้ฝึกการวางแผนการทำงานเพื่อนำความรู้ที่ได้จากการวิจัยไปปรับใช้ในการศึกษาต่อไป


งานวิจัย เรื่อง การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาของผู้บริหาร สถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จังหวัดขอนแก่น
การศึกษาระดับ : ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต (ปริญญาโท) มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย
ผู้วิจัย  : นัยนา เจริญผล
ปีการศึกษา : 2552

สะท้อนองความรู้ที่ได้จากวิจัย
             จากผลการใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารสถานศึกษาพบว่า สถานศึกษาในแต่ละพื้นที่ต้องการผู้บริหารที่มีคุณภาพ การเป็นผู้บริหารที่ดีนั้นควรมีหลักในการยึดถือปฏิบัติ ได้แก่ หลักด้านนิติธรรม ด้านคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักแห่งความคุ้มค่า ซึ่งคุณธรรมเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นผู้บริหาร วิธีเทคนิคการบริหารวิธีนี้จะช่วยให้การบริหารเกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ได้อย่างสูงสุด องค์กรมีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามมาด้วย

ประเมินตนเอง : มาเรียนตรงเวลา แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบ
ประเมินเพื่อน : เพื่อนแต่งการถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
ประเมินอาจารย์ :  อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น

บันทึกการเรียนครั้งที่7



บันทึกการเรียนครั้งที่7
สอบกลางภาค



บันทึกการเรียนคั้งที่6


บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 6
วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561

คำคม



คุณสมบัติผู้นำตามชื่อ


















โครงสร้างขององค์กรและการจัดระบบบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

การบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
  • การบริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย มีลักษณะการบริหารเฉพาะตัว โดยที่ต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
  • นโยบาย และยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศของรัฐบาล
  • แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ
  • แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
  • พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
  • หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • ปรัชญา นโยบายและวัตถุประสงค์ของสถานศึกษา
  • ความต้องการของชุมชน


การจัดประเภท และรูปแบบสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย
1. การจัดแบ่งตามโครงสร้างการบริหารตามขนาด แบ่งเป็น 3 ขนาด คือ
  1) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดเล็ก
  2) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดกลาง
  3) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดใหญ่

การจัดประเภท และรูปแบบสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย





2. การแบ่งตามรูปแบบตามพระราชบัญญัติการศึกษาชาติ 
(พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 )พ.ศ. 2545 กล่าวไว้ใน มาตรา 15กำหนดการจัดการศึกษา มี 3 รูปแบบ คือ)
  • รูปแบบในระบบโรงเรียน
  • รูปแบบนอกระบบโรงเรียน
  • รูปแบบตามอัธยาศัย

3. รูปแบบการให้บริการแบบใหม่
    คือ การรวมเด็กที่ผิดปกติและเด็กปกติไว้ด้วยกัน โดยเรียกแบบนี้ว่า “Normalization”

หลักในการบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
1. การบริหารงานวิชาการ
  เป็นการบริหารกิจกรรมทุกชนิดในโรงเรียน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพัฒนาการสอนผู้เรียนให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพที่สุด
2. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาปฐมวัย
  คือ การปฏิบัติการใช้คนให้ทำงาน อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีขบวนการต่าง ๆ
3. การบริหารงานธุรการและการเงินในสถานศึกษาปฐมวัย
  - งานธุรการในสถานศึกษา
  - งานการเงินในสถานศึกษาปฐมวัย
  - งานสารบรรณในสถานศึกษาปฐมวัย
  - งานทะเบียนและรายงาน
  - งานรักษาความปลอดภัย
  - งานการเงินและพัสดุ
  - งานพัสดุ
4. การบริหารงานกิจการนักเรียนในสถานศึกษาปฐมวัย 
    คือ การดำเนินงาน เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมในโรงเรียนโดยนักเรียนสมัครใจร่วมกิจกรรมเพื่อพัฒนาตนเอง
5. การบริหารสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาปฐมวัย
    - การบริหารสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
    - การบริหารสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมและประสบการณ์

การบริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในยุคปฏิรูป
ความหมาย การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Based Management)
    คือ การบริหารโดยกระจายอำนาจทางการศึกษาไปยังสถานศึกษาโดยตรงให้มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบและความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากที่สุด
หลักการในการบริหารแบบโรงเรียนเป็นฐาน (School Based Management)
   • หลักการกระจายอำนาจ (Decentralization)
   • หลักการมีส่วนร่วม (Participation or Collaboration Involvement)
   • หลักการคืนอำนาจจัดการศึกษาให้ประชาชน ( Return Power to People)
   • หลักการบริหารตนเอง (Self - managing)
   • หลักการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance)

รูปแบบโรงเรียนที่ใช้การบริหารแบบโรงเรียนเป็นฐาน
   • ผู้บริหารโรงเรียนเป็นหลัก (Administrative Control School Council )
   • บริหารโดยครูเป็นหลัก (Professional Control Council)
   • การบริหารจัดการโดยชุมชนมีบทบาท (Community Control School Council)
   • ครูและชุมชนมีบทบาทหลัก (Professional Community Control School Council)
สรุปการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ( School-Based Management )

   ***การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management) เป็นการถ่ายโอนอำนาจจากหน่วยงานไปให้แก่โรงเรียนได้บริหารแบบเบ็ดเสร็จที่โรงเรียนโดยมอบอำนาจการบริหารและจัดการศึกษาให้แก่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งประกอบด้วยผู้ปกครอง  

 องค์กรแห่งการเรียนรู้  
ศาสตร์ทั้ง 5 ขององค์กรแห่งการเรียนรู้
(ปีเตอร์ เอ็ม. เซงเก (Peter M. Senge) )
   • การใฝ่ใจพัฒนาตน (Personal Mastery)
   • รูปแบบของความคิด (Mental Models)
   • วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision)
   • การเรียนรู้เป็นทีม (Team Learning)
   • การคิดเชิงระบบ (System Thinking)


การบริหารแบบมีส่วนร่วม
สาระสำคัญของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
    • การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
    • การมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดการยอมรับในเป้าหมาย
    • การมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดความสำนึกในหน้าที่ความรับผิดชอบ
ผลดีของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
    • สร้างสรรค์ให้มีการระดมกำลังจากบุคคลต่าง ๆ
    • สร้างบรรยากาศและพัฒนาประชาธิปไตยในการทำงาน
    • ช่วยให้ลดความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารกับผู้ปฏิบัติงาน
    • การบริหารแบบมีส่วนร่วม
    • ผลงานที่เกิดขึ้น
    • สร้างความสมดุลระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ
ข้อจำกัดของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
    • การแสดงความคิดเห็นเกิดข้อขัดแย้งกับฝ่ายบริหาร
    • ก่อให้เกิดกลุ่มอิทธิพล
    • ผู้บริหารกลัวสูญเสียอำนาจ
    • การบริหารงานไม่สามารถใช้กับงานที่เร่งด่วนได้
    • ใช้งบประมาณมาก
    • ความคิดเห็นจากบุคคลภายนอกไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
    • การไม่เข้าใจหน้าที่มักจะทำให้เกิดการก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน


การวิเคราะห์เชิงปฏิบัติ
(SWOT Analysis Workshop)
      คือการวิเคราะห์สำรวจตรวจสอบสภาพภายในองค์กร และสภาพแวดล้อมภายนอก เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการวางแผน
  • S : จุดแข็ง
  • W : จุดอ่อน
  • O : โอกาส
  • T : อุปสรรค

  1. แต่สิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องไม่มองข้ามไปคือ เรากำลังจะเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ ที่อาจจะทำให้บางคนไม่พอใจจากการสำรวจ
  2. จุดอ่อน:W-จุดแข็ง:Sภายในองค์กร และ
  3. โอกาส:O-อุปสรรค:Tภายนอก

SWOT ให้คำตอบอะไรกับเรา
  1. อะไรคือเรื่องหลักที่เราต้องเผชิญในวันนี้
  2. เราจะจัดการกับเรื่องหลักนี้อย่างไร

ข้อสังเกต
  1. บางคนใช้ SWOT เพื่อตั้งคำถามอย่างเดียว
  2. บางคนใช้เหตุผลของ SWOT มองข้ามปัญหาไป

เรามาทำความคุ้นเคยกับ SWOT ด้วยกัน
  • ถ้าคุณมีภารกิจ ที่จะต้องให้บริการที่มีภาพต่อชุมชน ตรงต่อเวลา ข้อมูลน่าเชื่อถือ และมีภาพพจน์ที่ดี
  • มีการกำหนดหน้าที่ และภารกิจให้กับทีมงานทุกคน
  • ภารกิจบรรลุเป้าหมาย เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชน ในการเพิ่มมูลค่า(Value Creativity) และคุณค่าความเป็นอยู่ในชุมชนดีขึ้น

จุดแข็ง : Strengths
ตัวอย่าง
  • งานที่เราถนัด ทำแล้วมีความสุข
  • งานที่โดดเด่นที่ชุมชนชื่นชอบ
  • อะไรที่ชุมชนมีความต้องการให้เราทำซ้ำอีก
  • ทรัพยากร และเครื่องมือที่เรามีความพร้อม

จุดอ่อน : Weaknesses
ตัวอย่าง
  • งานที่เราไม่สบายใจที่จะทำ
  • ความต้องการที่จะรับความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน หรือทักษะบางอย่างที่เรายังไม่มั่นใจ
  • ขาดทรัพยากรในการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย

หมายเหตุ
1.บางทีจุดอ่อนของเรามีความเชื่อมโยงกับจุดแข็ง
2.ยกตัวอย่าง....
นายแดงดี สีใส อ่านหนังสือไม่ออก แต่มีความชำนาญในการสาธิตการกรีดยางพารา

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าการวิเคราะห์ประเมินภายในองค์กรสมบูรณ์ครบถ้วน
     ∆ ด้วยการมองสภาพแวดล้อมภายนอก แล้วพิจารณาว่า องค์กรของเรามีโอกาสประสบความสำเร็จ จากแผนโครงการพัฒนา ด้วยวิธีการทำงานใหม่นี้หรือไม่


เอาละ! ตอนนี้มาดูสิว่าอะไรน่าจะเป็นอุปสรรค : Threats
หมายเหตุ  การมองถึงอุปสรรค T ไม่ใช่ความคิดที่ไม่มีข้อพิสูจน์
ใช่ว่าเรามองจะโลกในแง่ร้าย มากกว่าโอกาส เพราะว่าเราต้องใช้สรรพกำลังที่มีทำให้งานประสมความสำเร็จ โดยอาศัยปัจจัยด้านอื่นๆอีกสามด้าน คือ SWOT

อุปสรรค : Threats
ตัวอย่าง
     ♣ใครคือคู่แข่งขันที่ทำได้ดีกว่าเรา
     ♣ถ้าสภาพแวดล้อมเปลี่ยนจะทำให้แผนโครงการเรามีปัญหา
     ♣ความขัดข้องที่จะเกิดจากเราเอง

สุดท้ายเรามาดู โอกาส : Opportunities
โอกาส : Opportunities
     ▲โอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้น ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ
     ▲มีเครื่องมือใหม่ที่ได้รับการสนับสนุน
     ▲มีช่องว่างทางการตลาดที่เรามองเห็น
     ▲เครือข่ายมีศักยภาพทำให้งานสำเร็จง่ายขึ้น
หมายเหตุ
• โอกาสควรที่จะพิจารณาทั้งในระดับมหภาค(ระดับประเทศ ระหว่างประเทศ) และระดับจุลภาค(ระดับครัวเรียน/ระดับหมู่บ้าน/ระดับตำบล)


สิ่งที่ได้รับและการนำไปประยุกต์ใช้
  1. ได้รับความรู้และแง่คิดดีๆจากคำคมที่เพื่อนๆนำเสนอไป 
  2. ได้ทราบถึงโครงสร้างขององค์กรและการจัดระบบบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และสามารถนำไปปรับใช้กับตนเองในวันข้างหน้าได้อีกด้วย

ประเมินตนเอง : มาเรียนตรงเวลา แต่งกายมาเรียนถูกระเบียบ
ประเมินเพื่อน : เพื่อนแต่งการถูกระเบียบ มาเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
ประเมินอาจารย์ :  อาจารย์มาสอนตรงเวลา แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น